วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

เทคโนโลยี4.0





ดิจิทัล 4.0” และ “ดิจิทัลไทยแลนด์” เป็นวลีที่คนไทยเริ่มจะได้ยินบ่อยขึ้นในช่วงหลายปีมานี้ หลายคนอาจจะสงสัยว่าหมายถึงอะไร เกี่ยวข้องกับพวกเรายังไง ส่งผลอะไรต่อชีวิตเราบ้าง และประเทศไทยในตอนนี้อยู่ในยุคใด คนไทยมีชีวิตผูกติดกับดิจิทัลมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการใช้อินเทอร์เน็ต ซื้อขายออนไลน์ อีคอมเมิร์ซ ทำธุรกรรมการเงินผ่านแอพพลิเคชั่น การสื่อสาร แต่เพียงเท่านี้ยังไม่พอที่จะพาสังคมไทยเข้าสู่ยุคดิจิทัล 4.0 ได้ก่อนที่จะศึกษานิยามของ Digital 4.0 เรามาทำความรู้จักยุคแรกๆของโลกดิจิทัลกันก่อน 1.0 ถึง 3.0 คืออะไร มีความแตกต่างกันอย่างไร Digital 1.0 เปิดโลกอินเตอร์เน็ต
ยุคนี้เป็นยุคเริ่มต้นของ “Internet เป็นช่วงเวลาที่กิจกรรมและการดำเนินชีวิตของผู้คนเปลี่ยนจากออฟไลน์ (offline) มาเป็นออนไลน์(online)มากขึ้น เช่น การส่งจดหมายทางไปรษณีย์ก็เปลี่ยนมาเป็นการส่งอีเมล์ E-mail และอีกหนึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ การถือกำเนิดของเว็บไซต์ Website ที่ทำให้เราเข้าถึงทุกอย่างได้ง่ายขึ้นและทั่วถึง การอัพเดตรวดเร็วตลอด 24 ชั่วโมง การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบครั้งใหญ่และเป็นวงกว้าง การดำเนินกิจกรรมสะดวกและรวดเร็ว เริ่มมีกิจกรรมเชิงพาณิชย์และโฆษณาผ่านเครื่องมือออนไลน์เสมือนกับมีหน้าร้านที่ทุกคนบนโลกจะเห็นเราได้ง่ายขึ้น

Digital 2.0 ยุคโซเชียลมีเดีย


ต่อยอดจากยุค 1.0 ก็จะเป็นยุคที่ผู้บริโภคเริ่มสร้างเครือข่ายติดต่อสื่อสารกันในโลกออนไลน์ เครือข่ายสังคม Social Network นี้เริ่มจากการคุยหรือแชทกับเพื่อน สมาคม กลุ่มเล็กๆของผู้คนที่ต้องการความสะดวกสบายในการติดต่อสื่อสาร จุดเล็กๆนี้เริ่มพัฒนาและขยายวงกว้างไปสู่การดำเนินกิจกรรมในเชิงธุรกิจ โดยนักธุรกิจส่วนใหญ่มองว่า Social Media เป็นเครื่องมือเชื่อมต่อและสร้างเครือข่ายทางธุรกิจให้แก่พวกเขาได้เป็นอย่างดีด้วยการคลิกเพียงครั้งเดียว อีกทั้งยังช่วยในการพัฒนา Brand วัดผลการดำเนินงานของธุรกิจ ส่งเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ เสมือนว่า Social Media เป็นกระบอกเสียงและเวทีเสนองานแก่นักธุรกิจสู่สายตาชาวโลกเป็นอย่างดี เครื่องมือโซเชียลยังสามารถเป็นอำนาจในการต่อรองของผู้บริโภคที่กำลังตัดสินใจเลือกสินค้าและบริการ เนื่องจากมีตัวเลือกและร้านค้าให้เห็นมากขึ้นอีกด้วย

 Digital 3.0 ยุคแห่งข้อมูลและบิ๊กดาต้า

ยุคแห่งการใช้ข้อมูลที่วิ่งเข้าออกเป็นล้านๆดาต้าให้เป็นประโยชน์ การเติบโตของโซเชียลมีเดียและ E-Commerce จากยุค 2.0 ทำให้เกิดการขยายของข้อมูลอย่างมหาศาล ทุกแพลตฟอร์มไม่ว่าจะเป็น สื่อโซเชี่ยล เว็บเบราวเซอร์ หรือแม้แต่ธุรกิจอย่างธนาคาร โลจิสติกส์ ประกันภัย รีเทล ต่างมีข้อมูลเข้าออกเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน และเริ่มมีการนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ดังคำกล่าวที่ว่า “ใครมีข้อมูลมาก ก็มีอำนาจมาก”ข้อมูลถูกนำมาประมวลผล จับสาระ วิเคราะห์ถึงความต้องการของผู้บริโภคเพื่อสร้างสินค้าและบริการที่สามารถตอบสนองโจทย์ของลูกค้าได้ ทุกองค์กรต่างเห็นความสำคัญของการนำบิ๊กดาต้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่การนำบิ๊กดาต้ามาตอบสนองอย่างเรียลไทม์นั้น จำเป็นต้องมีระบบคลาวด์ Cloud Computing มาช่วยอำนวยความสะดวก จัดเก็บข้อมูล เลือกทรัพยากรตามการใช้งาน และทำให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลบนคลาวด์จากที่ใดก็ได้ ผู้ใช้ทุกคนสามารถเข้าถึงระบบ ข้อมูลต่างๆผ่านอินเตอร์เน็ต สามารถจัดการ บริหารข้อมูล และแบ่งปันข้อมูลกับผู้อื่น (Shared Services) ลดต้นทุนและลดความยุ่งยากเพื่อโฟกัสกับงานหลัก เพิ่มความเร็วในการบริการและการทำธุรกิจได้มากขึ้นบิ๊กดาต้าสามารถนำมาต่อยอดโดยการคิดค้น เฟ้นหา และประยุกต์ใช้ข้อมูลนั้น พัฒนาเป็นแอพลิเคชั่น Application ที่ให้ความสะดวกสบายแก่ผู้บริโภคผ่านทางสมาร์ทโฟนและแท็บเลตอีกด้วย 

 Digital 4.0 เมื่อเทคโนโลยีมีมันสมองและเราก็มาถึงยุคที่ความฉลาดของเทคโนโลยีจะทำให้อุปกรณ์ต่างๆสื่อสารและทำงานกันเองได้อย่างอัตโนมัติ เทคโนโลยีในสามยุคแรกที่กล่าวไปเปรียบเสมือนเป็นแขน ขา ให้แก่มนุษย์ เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเหลือ อำนวยความสะดวก หยิบจับ คำนวณ ประมวลผมให้มนุษย์ มีแขน ขา แต่ไม่มีสมองเป็นของตัวเอง ในยุค 4.0 เทคโนโลยีถูกนำมาพัฒนาต่อยอดเพื่อลดบทบาทของมนุษย์ และเพิ่มศักยภาพของมนุษย์ในการใช้ความคิดเพื่อข้ามขีดจำกัด สร้างสรรค์พัฒนาสิ่งใหม่ๆ โดยจะใช้ชื่อยุคนี้ว่าเป็นยุค Machine-to-Machine เช่น เราสามารถเปิด-ปิด หรือสั่งงานอื่นๆกับเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านตัวเองผ่านแอพลิเคชั่นโดยไม่ต้องเดินไปกดสวิตช์ หรือตัวอย่างที่ถูกนำมาใช้งานจริงแล้วอย่างการพูดคำว่า “แคปเจอร์” กับแอพถ่ายภาพในสมาร์ทโฟน โทรศัพท์ก็จะถ่ายรูปให้อัตโนมัติโดยที่เราไม่ต้องกดถ่ายด้วยซ้ำ หรือแม้แต่เทคโนโลยีซิมูเลชั่น Simulation จำลองสถานการณ์เพื่อฝึกอบรมพนักงาน วางแผนสถานการณ์โดยที่ไม่ต้องเดินทางไปถึงสถานที่จริง หรือเป็นสื่อการเรียนรู้แบบ Interactive เป็นต้นเทคโนโลยีและโลกดิจิทัลมักไปไว และเคลื่อนที่ไม่มีหยุด องค์กรจึงจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันตามเทรนด์ พัฒนานวัตกรรมเพื่อต่อยอดธุรกิจบนการแข่งขันที่รวดเร็วและรอบด้าน จาก SME ให้กลายเป็น Smart Enterprise ที่มีศักยภาพสูงขึ้น จากบริการธรรมดาให้กลายเป็น High Value Service เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนของธุรกิจ



เทคโนโลยีล่าสมัย

เครื่องวิทยุ AM /FN

ถึงปัจจุบันเราจะสามารถฟังวิทยุผ่านมือถือกันได้เเล้ว เเต่ทั้งในรถยนต์หรือร้านอาหารข้างทางธรรมดาๆ ก็ใช้วิทยุกันทั้งนั้นนะครับ เพราะบางทีเปิดมือถือมานั้นส่วนใหญ่ก็กดเกมเล่นกันไม่ก็อ่านเฟสบุ๊คทำให้วิทยุเหล่านี้ก็ยังขายได้อยู่ดีถึงจะน้อยก็ตาม

สายเเจ็คเสียง 3.5mm
สายหูฟังที่ใช้กันมาอย่างยาวนานที่ไม่มีท่าทีว่าจะหายไปง่ายๆ ถึงเเม้ iphone 7 จะนำช่องนี้ออกก็ตามเเต่ก็ยังมีอุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้กันอยู่ทั่วบ้านทั่วเมืองอยู่ดี




ตลับเกมคลาสสิก



ตลับเกมที่ตอนเด็กๆ คนที่เคยเล่นน่าจะเคยหยิบเอามาเป่าก่อนเสียบเล่นกัน ที่ถึงปัจจุบันเครื่องเกมจะเปลี่ยนเป็นเเบบ blu-ray /Digital กันหมดเเล้ว เเต่ก็ยังมีกลุ่มคนที่ชอบของคลาสสิกเหล่านี้กันอยู่ที่คลาสสิกสุดๆ ขนาดยังใช้ตลับเล่นกันอยู่นั่นเอง



ที่มา:http://www.wice.co.th/2018/01/11/digital-4-0-technology/
https://www.onlinestation.net/movie/view/98550

วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ฝุ่นPM2.5

PM 2.5 คืออะไร?


   คำว่า PM ย่อมาจาก Particulate Matters เป็นคำเรียกค่ามาตรฐานของฝุ่นละอองขนาดเล็กที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด ได้แก่ PM 10 และ PM 2.5 ส่วนตัวเลข 2.5 นั้นมาจากหน่วย 2.5 ไมครอนหรือไมโครเมตรนั่นเอง
   พูดง่ายๆ คือ ฝุ่นละออง PM2.5 เป็นอนุภาคขนาดเล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ยน้อยกว่า 2.5 ไมโครเมตร แขวนลอยอยู่ในอากาศรวมกับไอน้ำ ควัน และก๊าซต่างๆ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าถึงจะเป็นเพียงฝุ่นละอองขนาดจิ๋ว แต่เมื่อมาแผ่อยู่รวมกันจะกินพื้นที่ในอากาศมหาศาล ล่องลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศปริมาณสูง เกิดเป็นหมอกควันอย่างที่เราเห็นกัน
   ฝุ่นละออง PM2.5 ถือเป็นมลพิษต่อสุขภาพของมนุษย์ตามที่องค์การอนามัยโลกให้ความสำคัญและออกมาแจ้งเตือนให้ทราบ เพราะเป็นฝุ่นที่มีขนาดเล็กมาก เส้นผมที่ว่ามีขนาดเล็กแล้ว เจ้า PM2.5 ยังเล็กกว่าเส้นผมถึง 20 เท่า ทำให้เล็ดลอดผ่านขนจมูกเข้าสู่ปอด และหลอดเลือดได้ง่าย ส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว



มีผลกระทบต่อร่างกายอย่างไร?

   ฝุ่นละออง PM 2.5 เป็นเจ้าฝุ่นร้ายที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ไม่มีกลิ่น ขนาดเล็กจิ๋วมาก สามารถผ่านเข้าไปในร่างกายเราลึกได้ถึงถุงลมปอด บางส่วนสามารถเล็ดรอดผ่านผนังถุงลมเข้าเส้นเลือดฝอยล่องลอยอยู่ในกระแสเลือด และกระจายตัวแทรกซึมไปทั่วร่างกายของเราได้
   ความน่ากลัวของเจ้าฝุ่นร้ายนี้ คือ กระตุ้นให้เกิดสารอนุมูลอิสระ ลดระบบแอนตี้ออกซิแดนท์ รบกวนสมดุลต่างๆ ของร่างกาย และกระตุ้นยีนที่เกี่ยวข้องกับการหลั่งสารอักเสบ ซึ่งมีอันตรายต่อเนื้อเยื่อในร่างกายของเรามาก แล้วส่งผลกระทบต่างๆ ตามมา ดังนี้




  • กระตุ้นให้คนที่มีโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรังเกิดอาการกำเริบ เช่น โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ โรคหอบหืด และโรคถุงลมโป่งพอง
  • กระตุ้นให้คนที่มีโรคระบบหัวใจและหลอดเลือดเรื้อรังเกิดอาการกำเริบ โดยเฉพาะโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
  • สำหรับผลระยะยาวจะทำให้การทำงานของปอดถดถอย อาจเกิดโรคถุงลมโป่งพองได้แม้จะไม่สูบบุหรี่ก็ตาม และเพิ่มโอกาสทำให้เกิดมะเร็งปอดได้ด้วย

ข้อแนะนำและวิธีป้องกันตนเองจากฝุ่นพิษ PM 2.5

  1. 1.  ลดการใช้ยานพาหนะส่วนตัว ส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ
  2. 2.  หลีกเลี่ยงการเผาไหม้ในที่โล่งแจ้ง เผาพื้นที่เพื่อเตรียมการทำเกษตรกรรม เผาขยะ หรือวัสดุเหลือใช้
  3. 3.  ควบคุมกระบวนการก่อสร้างให้มีฝุ่นน้อยที่สุด
  4. 4.  ออกกำลังกายในที่ร่ม ฝุ่นน้อยๆ และไม่ควรใส่หน้ากากอนามัยเวลาออกกำลังกาย
  5. 5.  รับประทานอาหารเสริม อาหารที่มีวิตามินซี และวิตามินอีสูง เช่น ถั่ว ปลา(มีโอเมก้า 3 มาก)
  6. 6.  ใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่จำเป็นต้องออกข้างนอกบ้าน หรือที่โล่งแจ้ง ให้ใส่หน้ากากพิเศษชนิดที่เรียกว่า “เอ็นเก้าสิบห้า” โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นโรคระบบการหายใจหรือโรคหัวใจเรื้อรัง สำหรับคนทั่วไปอย่างน้อยให้ใส่ “หน้ากากอนามัย” โดยต้องใส่ให้ถูกต้องวิธี คือ หันด้านที่เป็นสีเขียวและเป็นมันออกด้านนอก ให้ส่วนที่มีแผ่นเสริมความแข็งแรงและช่วยการเข้ารูปอยู่ด้านบนของจมูก สังเกตรอยพับของผ้าด้านหน้าต้องพับลง หากใส่ผิดรอยพับจะกักเก็บฝุ่นละอองในรอยพับ ทำให้หายใจลำบาก

ประเภทของหน้ากากอนามัยและการเลือกใช้ให้เหมาะสม

  1. 1.หน้ากากอนามัยชนิดN95

    เป็นหน้ากากอนามัยที่ได้รับความนิยมสูงสุดในขณะนี้เป็นหน้ากากที่ได้มาตรฐานและได้รับการยอมรับว่าสามารถป้องกันเชื้อโรคได้ดีที่สุด เพราะป้องกันได้ทั้งฝุ่นละอองและเชื้อโรคที่มีขนาดเล็กถึง 0.3 ไมครอน เหมาะสำหรับป้องกันมลพิษ ฝุ่นละอองขนาดเล็กอย่าง PM2.5 ควันพิษ ไอเสียรถยนต์ และไอระเหยของสารเคมีต่างๆ
  2. 2. หน้ากากอนามัยแบบเยื่อกระดาษ3ชั้น

    หรือที่เรียกว่าหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ เป็นแบบที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคย หาซื้อได้ง่ายตามร้านสะดวกซื้อและร้านขายยาทั่วไป เน้นการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคจากการไอหรือจามจากเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อราได้ แต่หากเป็นเชื้อไวรัสซึ่งมีอนุภาคเล็กระดับไมครอน อาจไม่สามารถป้องกันได้ จึงไม่เพียงพอหากต้องการป้องกันฝุ่นพิษ PM2.5 และควรใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ไม่แนะนำให้ใช้ซ้ำ
  3. 3.หน้ากากอนามัยแบบผ้าฝ้าย

    javascript:void(null);
    ระดับความป้องกันไม่แตกต่างจากหน้ากากอนามัยแบบเยื่อกระดาษ เน้นการป้องกันการกระจายของน้ำมูกหรือน้ำลายจากการไอจาม สามารถป้องกันฝุ่นละอองที่มีขนาดใหญ่กว่า 3 ไมครอนขึ้นไป จึงไม่เหมาะกับการป้องกันฝุ่นละออง PM2.5 แต่มีข้อดี คือ ประหยัด สามารถนำไปซักกับน้ำยาฆ่าเชื้อโรคแล้วนำลับมาใช้ใหม่ได้

ที่มา:https://www.honestdocs.co/pm-2-5-environmental-nano-pollutants

วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

Python

ประวัติความเป็นมาของ Python


  ภาษา Python มีการพัฒนามาอย่างยาวนานมากกว่า 20 ปี โดยเรียงลำดับประวัติความเป็นมาของ Python ได้ดังนี้1989 จุดเริ่มต้นความคิดในการสร้างภาษา Python :  ภาษา Python ถูกสร้างขึ้นในต้นยุค 90 โดย Guido van Rossum ที่ Stichting Mathematisch Centrum (CWI) ในประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยต้นแบบภาษาสืบทอดมาจากภาษา ABC  ภาษา ABC เป็นภาษาที่ถูกออกแบบให้ง่ายต่อการเรียนรู้ ซึ่ง Van Rossum เคยช่วยเหลือในการพัฒนาภาษา ABC ก่อนหน้านี้ในอาชีพที่เขาทำ แต่ Van Rossum ได้มองเห็นปัญหาของภาษา ABC แต่เขาก็ยังคงชอบลักษณะเด่น ๆ จำนวนมากของภาษา ABC อยู่ เขาจึงสร้างภาษาสคริปต์ (scripting language) ใหม่ที่ใช้ไวยากรณ์ของ ABC ที่ได้แก้ไขปัญหาที่เขาพบบางอย่างลงไป เช่น สนับสนุนการจัดการกับข้อผิดพลาด (Exception Handling) เป็นต้น  Van Rossum เริ่มต้นพัฒนาภาษาใหม่ในช่วงวันหยุดคริสต์มาส เดือนธันวาคม ค.ศ.1989 แต่ช่วงนั้นเขายังไม่ได้ตั้งชื่อภาษาใหม่นี้ จนกระทั่ง เขาได้อ่านอ่านสคริปต์ที่ตีพิมพ์จากซีรีส์ตลก "Monty Python’s Flying Circus" ของบีบีซี ซีรีส์ตลกจากช่วงยุค 1970  เขาจึงเลือกชื่อ "Python" กลายเป็นจุดเริ่มต้นของภาษา Python




  Python คือชื่อภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมภาษาหนึ่ง ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมาโดยไม่ยึดติดกับแพลตฟอร์ม กล่าวคือสามารถรันภาษา Python ได้ทั้งบนระบบ Unix, Linux , Windows NT, Windows 2000, Windows XP หรือแม้แต่ระบบ FreeBSD อีกอย่างหนึ่งภาษาตัว นี้เป็น OpenSource เหมือนอย่าง PHP ทำให้ทุกคนสามารถที่จะนำ Python มาพัฒนาโปรแกรมของเราได้ฟรีๆโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย และความเป็น Open Source ทำให้มีคนเข้ามาช่วยกันพัฒนาให้ Python มีความสามารถสูงขึ้น และใช้งานได้ครบคุมกับทุกลักษณะงาน

ที่มา:https://www.aosoft.co.th/article/322/Python
      https://python3.wannaphong.com/2017/09/python.html




วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2561

สอบปฏิบัติFinal

7เทคนิคการเรียนเก่ง

1. พักผ่อนให้เพียงพอ

2. กล้าถามเมื่อสงสัย

3. มีสมาธิในเวลาเรียน

4. จับประเด็นให้ได้

5. อ่านเนื้อหาคร่าวๆก่อนเรียน

6. อย่าสักแต่ว่าจด  

7. สอนเพื่อนๆในเรื่องที่เข้าใจ

ที่มาhttps://www.top-atutor.com


คุณสมบัตินายร้อยตำรวจหญิง
คุณสมบัติของนักเรียนที่จะสอบเข้าไปเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจหญิง
1. บุคคลที่เป็นข้าราชการตำรวจ หญิง อายุ ไม่เกิน 25 ปี เป็นข้าราชการตำรวจมาแล้ว 1 ปี
2. นรต.หญิงบุคคลภายนอก(จบ..6)
อายุ 16 - 21 ปี
- สำเร็จมัธยมปลาย(ม.6)หรือเทียบเท่า
- สูงไม่น้อยกว่า 160 ซม
- บิดา มารดา สัญชาติไทย
วิชาที่ใช้สอบข้อเขียน
>>วิชาละ 200 คะแนนเต็ม>>
คณิต/วิทย์/ภาษาไทย/ภาษาอังกฤษ           

สอบรอบสอง
ตรวจร่างกาย ตรวจสุขภาพที่ รพ.ตำรวจ
สอบประวัติ สอบประวัติ ที่สถานีตำรวจ  ที่บ้านเกิด
สอบพละศึกษา
ว่ายน้ำ 50 เมตร  ไม่เกิน  3  นาที
วิ่ง 1000 เมตร    ไม่เกิน  7  นาที
สอบสัมภาษณ์และวัดขนาดร่างกาย  พิจารณารูปร่าง ลักษณะท่าทาง ท่วงทีวาจา ปฏิภาณไหวพริบเพื่อคัดเลือกว่ามีความเหมาะสมจะเป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตรหรือไม่

ผังแนวทางในการบรรจุเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรหญิง(นายร้อยตำรวจหญิง)


การศึกษาในโรเรียนนายร้อยตำรวจ
   
   การจัดการศึกษาตามหลักสูตรนักเรียนนายร้อยตำรวจ ตลอด 4 ปี จะต้องอยู่ประจำ ณ สถานศึกษาตลอด 4 ปี เพื่อใช้เวลาสำหรับสร้างบุคลากรตำรวจให้ได้ครบทุกด้าน คือ พุฒิศึกษา พลศึกษา และจริยศึกษา คือ ให้ได้ทั้งความรู้ในวิชาชีพตำรวจ ด้านร่างกาย บุคลิกภาพ คุณลักษณะ และทักษะ ที่เหมาะสมทั้งด้านคุณธรรมและจริยธรรมในอาชีพตำรวจ   รัฐต้องใช้งบประมาณสำหรับการจัดการศึกษา เสมือนเป็นนักเรียนทุนของรัฐ เพื่อให้ได้ตำรวจอาชีพที่สมบูรณ์แบบที่สุด ต้องใช้ทรัพยากรในการจัดการศึกษา และการฝึกอบรม ทั้งด้านที่พัก อาหาร สถานที่ อุปกรณ์การศึกษา และฝึกอบรม โดยตลอดหลักสูตรนักเรียนนายร้อย ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการศึกษาแต่อย่างใด

  • เมื่อเข้ารับการศึกษาต่อที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจจะได้รับเงินเดือนตลอด 4 ปี
  • ราชการรับผิดชอบค่าที่พัก ค่าอาหาร ตำรา เครื่องแต่งกาย และอุปกรณ์การศึกษา และการฝึกอบรมทั้งหมด
  • ได้รับปริญญาตรี รัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต
  • ได้รับพระราชทานยศเป็นร้อยตำรวจตรีหญิง
  • ได้รับพระราชทานกระบี่
  • ได้รับการบรรจุแต่งตั้งในตำแหน่งรองสารวัตรในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติทุกคน
เมื่อสำเร็จการศึกษา
   
   เมื่อสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจแล้ว สามารถนำคุณวุฒิ รัฐประศาสนศาสตรบัณฑิตไปศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่สามารถเทียบโอนหน่วยกิต ได้ คือ
  • สาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เทียบโอนหน่วยกิต ได้จำนวน 88 หน่วยกิต จากจำนวน 145 หน่วยกิต
  • สาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เทียบโอนชุดวิชา ได้จำนวน 4 ชุดวิชา ในจำนวน 24 ชุดวิชา
  • สามารถใช้คุณวุฒิ รัฐประศาสนศาสตร์ ศึกษาต่อในระดับปริญญาโท และสามารถศึกษาต่อจนถึงระดับปริญญาเอก ได้เช่นเดียวกับผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยทั่วไป ได้ในหลายสาขาทั้งในและต่างประเทศ
      ตำแหน่งที่แต่งตั้งครั้งแรก คือ การเป็นพนักงานสอบสวนที่ถือเป็นตำแหน่งสำคัญยิ่งในการอำนวยความยุติธรรมขั้น ต้น ดังนั้นนายตำรวจสัญญาบัตรที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจไป ปฏิบัติหน้าที่จะต้องมีคุณสมบัติพร้อมทั้งความรู้ความสามารถ กฎหมาย การรวบรวมหลักฐาน มีวิจารณญาณ ไหวพริบ และคุณสมบัติอีกหลายด้านจึงจะสามารถเป็นตำรวจอาชีพที่ดีได้ตามที่ประชาชนคาด หวังและต้องการได้ หน้าที่ราชการที่เริ่มจากตำแหน่งรองสารวัตร ยศร้อยตำรวจตรี ไปจนถึงตำแหน่งผู้บังคับบัญชา ยศพลตำรวจตรี
 ที่มา http://www.rtopcadet.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539795062&Ntype=9

วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2561

อาเซียน ASEAN

ประวัติอาเซียน 10 ประเทศ

  
  ประชาคมอาเซียน หรือ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South East Asian Nations : ASEAN) เป็นองค์กรระหว่างประเทศระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีจุดเริ่มต้นโดยประเทศไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ได้ร่วมกันจัดตั้ง สมาคมอาสา (Association of South East Asia) เมื่อเดือน ก.ค.2504 เพื่อการร่วมมือกันทาง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม แต่ดำเนินการไปได้เพียง 2 ปี ก็ต้องหยุดชะงักลง เนื่องจากความผกผันทางการเมืองระหว่างประเทศอินโดนีเซียและประเทศมาเลเซีย จนเมื่อมีการฟื้นฟูสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ จึงได้มีการแสวงหาหนทางความร่วมมือกันอีกครั้ง

                                   อาเซียนคืออะไร?


  หลายคนอาจจะยังมีข้อกังขาเกี่ยวคำเรียกที่ว่า "ASEAN" หรือในภาษาไทยอ่านว่า "อาเซียน"จริงๆแล้วคำนี้มันมีความหมายว่าอะไรและมีความสำคัญอย่างไรเหตุใดเราถึงควรรู้จักกับเจ้าคำนี้เอาไว้วันนี้เราจะมาคลายข้อสงสัยเพื่อทำให้ผู้อ่านได้รู้จักกับ"อาเซียน"มากขึ้น
อาเซียน เกิดจากการรวมตัวกันของ 10 ประเทศ อันได้แก่ มาเลเซีย, พม่า, กัมพูชา, ลาว, ไทย, สิงคโปร์, เวียดนาม, บรูไนดารุส-ซาลาม, ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ซึ่งรายนามประเทศเหล่านี้เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งสิ้น โดยอาเซียน มีชื่อเรียกเต็มๆ ว่า "Association of Southeast Asian Nations" หรือ "สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้"
สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 
   
   ถือกำเนิดขึ้นโดย "ปฏิญญากรุงเทพ" (Bangkok Declaration) หรือ "ปฏิญญาอาเซียน" (ASEAN Declaration) เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2510 โดยมีสมาชิกเริ่มแรกเพียง 5 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์ และไทย มีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางด้านการเมือง เศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยกันเอง ภายหลังจึงได้มีอีก 5 ประเทศสมาชิกเข้าร่วมเพิ่มเติม จึงทำให้ "อาเซียน" มีสมาชิกเป็น 10 ประเทศดังเช่นในปัจจุบัน

ข้อมูล ASEAN ที่ควรรู้

  
   นอกจากอาเซียนนั้นจะมีความน่าสนใจในแง่ของความร่วมมือกันด้านต่างๆ ของทั้ง 10 ประเทศแล้ว อาเซียน ยังมีข้อมูลอีกบางประการที่เราควรจะต้องรู้เอาไว้ เผื่อว่าคุยกับใครๆ จะได้รู้เรื่อง !
  • เมื่อปี 2554 ประเทศในภูมิอาเซียนมีประชากรรวมกันมากถึง 620 ล้านค้น
  • ภูมิภาคอาเซียนมีอาณาเขตพื้นที่รวมกันทั้งสิ้น 4.5 ล้านตารางกิโลเมตร
  • ในภูมิภาคอาเซียนมีประชากรที่นับถือศาสนาแตกต่างกันทั้งพุทธิ อิสลาม คริสต์ และฮินดู
  • ประเทศในภูมิภาคที่มีประชากรนับถือศาสนาอิสลามมากที่สุด คือ อินโดนีเซีย และประเทศที่มีประชากรนับถือศาสนาคริสต์มากที่สุด คือ ฟิลิปปินส์
  • ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียนมีมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยรวม เท่ากับ 2.1 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐ นับว่าเป็นอันดับที่ 9 ของโลก
  • ค่าการส่งออกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีมูลค่ารวม 2.0 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐ

    ตราสัญลักษณ์อาเซียน

      "สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" หรือ "อาเซียน" ใช้สัญลักษณ์เป็นรูปมัดรวงข้าวสีเหลืองบนพื้นวงกลมสีแดง ล้อมรอบด้วยวงกลมสีขาวและสีน้ำเงิน
  • รวงข้าวสีเหลือง 10 ต้น หมายถึง ความใฝ่ฝันของบรรดาสมาชิกในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ทั้ง 10 ประเทศ ให้มีอาเซียนที่ผูกพันกันอย่างมีมิตรภาพและเป็นหนึ่งเดียว
  • วงกลม หมายถึง เอกภาพของอาเซียน
  • ตัวอักษร "asean" สีน้ำเงินใต้ภาพรวงข้าว หมายถึง ความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกันเพื่อความมั่นคง สันติภาพ เอกภาพ และความก้าวหน้าของประเทศสมาชิกอาเซียน

สีที่ใช้ในตราสัญลักษณ์อาเซียน

  ซึ่งนอกจากตราสัญลักษณ์ที่จะช่วยสร้างความเข้าใจในความเป็นอาเซียนแล้ว สีที่ใช้ก็ยังมีส่วนที่ช่วยเสริมให้อาเซียนมีพลัง สามารถดำเนินไปได้ด้วยความอดทน และมีความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน
สีที่ใช้ในตราสัญลักษณ์อาเซียน
สีเหลือง หมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง 
สีแดง หมายถึง ความกล้าหาญและการมีพลวัติ 
สีขาว หมายถึง ความบริสุทธิ์




ประวัติการก่อตั้งอาเซียน
  
  อาเซียน หรือ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South East AsianNations หรือ  ASEAN) ก่อตั้งขึ้นโดยปฏิญญากรุงเทพ (Bangkok Declaration) ซึ่งได้มีการลงนามที่วังสราญรมย์ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2510 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสมาชิกก่อตั้ง 5 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ และ ไทย ซึ่งผู้แทนทั้ง 5 ประเทศ ประกอบด้วย
            - นายอาดัม มาลิก (รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย)
            
            - นายตุน อับดุล ราชัก บิน ฮุสเซน (รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกลาโหมและรัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติมาเลเซีย)

            - นายนาซิโซ รามอส (รัฐมนตรีต่างประเทศฟิลิปปินส์)
            - นายเอส ราชารัตนัม (รัฐมนตรีต่างประเทศสิงค์โปร์)
            - พันเอก (พิเศษ) ถนัด คอมันตร์ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย)

  ทั้งนี้ ในเวลาต่อมาได้มีประเทศต่าง ๆ เข้าเป็นสมาชิกเพิ่มเติม ได้แก่ บรูไนดารุสซาลาม (เป็นสมาชิกเมื่อ 8 มกราคม พ .ศ.2527) เวียดนาม (เป็นสมาชิกเมื่อ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2538) ประเทศลาว, ประเทศพม่า (เป็นสมาชิกเมื่อ 23 กรกฎาคม พ.ศ .2540) และประเทศกัมพูชา (เป็นสมาชิกเมื่อ 30 เมษายน พ.ศ. 2542) ทั้งนี้ ในปัจจุบันมีสมาชิกอาเซียนทั้งหมด 10 ประเทศ
ประเทศสมาชิกอาเซียน (ASEAN Member States)
    
  เนการาบรูไนดารุสซาลาม : Negara Brunei Darussalam
การปกครอง:สมบูรณาญาสิทธิราชย์
ประมุข:สมเด็จพระราชาธิบดีฮัจญี 
ฮัสซานัล โบลเกียห์ มูอิซซัดดิน 
วัดเดาเลาะห์
เมืองหลวง:บันดาร์เสรีเบกาวัน
ภาษาราชการ:ภาษามาเลย์, ภาษาอาหรับ
หน่วยเงินตรา:บรูไนดอลลาร์

  
    
     ราชอาณาจักรกัมพูชา : Kingom of Cambodia
 การปกครอง:ระบอบประชาธิปไตย
 ประมุข:พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี
 เมืองหลวง:กรุงพนมเปญ
 ภาษาราชการ:ภาษาเขมร
 หน่วยเงินตรา:เรียล

  
สาธารณรัฐอินโดนีเซีย : Republic of Indonesia
การปกครอง:ระบอบสาธารณรัฐแบบประชาธิปไตยประมุข:พลโทซูซีโล บัมบัง ยูโดโยโน
เมืองหลวง:กรุงจาการ์ตา

ภาษาราชการ:ภาษาบาร์ฮาซา, ภาษาอินโดนีเซีย
หน่วยเงินตรา:รูเปียห์


สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว : The Loa People's Democratic Republic
การปกครอง:ระบอบสังคมนิยม
ประมุข:พลโทจูมมะลี ไซยะสอน
เมืองหลวง:นครหลวงเวียงจันทน์
ภาษาราชการ:ภาษาลาว

หน่วยเงินตรา:กีบ

มาเลเซีย : Malaysia
การปกครอง:สหพันธรัฐ โดยมีสมเด็จพระราชาธิบดีเป็นประมุข
ประมุข:สมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่านตวนกู อับดุล ฮาลิม มูอัซซอม ซาร์
เมืองหลวง:กรุงกัวลาลัมเปอร์

ภาษาราชการ:ภาษามาเลย์
หน่วยเงินตรา:ริงกิต



สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ : Republic of the Union of the Myanmar
การปกครอง:ระบบประธานาธิบดี
ประมุข:พลเอกเต็ง เส่ง
เมืองหลวง:นครเนปิดอร์
ภาษาราชการ:ภาษาพม่า
หน่วยเงินตรา:จั๊ต


สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ : Republic of the Philippine

การปกครอง:สาธารณรัฐเดี่ยวระบบประธานาธิบดี
ประมุข:เบนิกโน อากีโน ที่ 3

มืองหลวง:กรุงมะลิลา
ภาษาราชการ:ภาษาตากาล๊อก, ภาษาอังกฤษ
หน่วยเงินตรา:เปโซ




สาธารณรัฐสิงคโปร์ : Republic of Singapore
การปกครอง:ระบบสาธารณรัฐแบบรัฐสภา มีประธานาธิบดีเป็นประมุข
ประมุข:โทนี ตัน เค็ง ยัม
เมืองหลวง:สิงคโปร์

ภาษาราชการ:ภาษาอังกฤษ, ภาษาจีนกลาง, ภาษามาเลย์, ภาษาทมิฬ
หน่วยเงินตรา:ดอลล่าร์สิงคโปร์


ราชอาณาจักรไทย : Kingdom of Thailand
การปกครอง:ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ประมุข:พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
เมืองหลวง:กรุงเทพมหานคร
ภาษาราชการ:ภาษาไทย
หน่วยเงินตรา:บาท





สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม : Socialist Republic of Vietnam
การปกครอง:ระบอบสังคมนิยมเวียดนาม
ประมุข:เจือง เติ๋น ซาง
เมืองหลวง:กรุงฮานอย
ภาษาราชการ:ภาษาเวียดนาม
หน่วยเงินตรา:ด่อง




แหล่งที่มา:https://guru.sanook.com/8631/
        


เทคโนโลยี4.0

“ ดิจิทัล 4.0” และ “ดิจิทัลไทยแลนด์” เป็นวลีที่คนไทยเริ่มจะได้ยินบ่อยขึ้นในช่วงหลายปีมานี้ หลายคนอาจจะสงสัยว่าหมายถึงอะไร เกี่ยวข้อง...